☑︎ รีวิวนี้อัปเดตล่าสุดเมื่อ มิถุนายน 2025
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Surfshark กลายเป็นหนึ่งในบริการ VPN ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
ถ้าคุณมาถึงรีวิวนี้แล้ว ก็น่าจะสงสัยว่า Surfshark เป็นแค่ปลาน้อยหัวแข็งในมหาสมุทรดิจิทัล – หรือเป็นนักล่าตัวจริง ที่ทั้งเร็ว ปลอดภัย และราคาดีจนต้องเหลียวมอง?
ยินดีด้วยที่คุณมาถูกที่
เพราะในรีวิวอัปเดตฉบับนี้ เราจะไม่เสียเวลาพูดถึงปุ่มหน้าตาแอป หรือโชว์สกรีนช็อตแบบรีวิวผิวเผิน
เราจะเจาะลึกในคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ VPN นี้ รวมถึง:
- Surfshark แตกต่าง จาก VPN อื่นยังไง?
- ความเป็นส่วนตัวของคุณปลอดภัยแค่ไหน ถ้าใช้ Surfshark?
- เซิร์ฟเวอร์เร็วแค่ไหน สำหรับใช้งานจริง?
- ส่วนลดที่ดีที่สุด ตอนนี้คือเท่าไหร่?
พูดถึงราคาดี ๆ – ตอนท้ายของรีวิว เรามีขั้นตอนการสมัครพร้อมคูปองพิเศษ ที่ช่วยให้คุณได้ราคาต่ำสุดจริง ๆ หากตัดสินใจลองใช้
แต่ก่อนอื่น…มาดูกันให้ชัดว่า Surfshark ยังน่าใช้ใน 2025 อยู่ไหม
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ความเร็วและสถานที่
P2P และการดาวน์โหลดทอร์เรนต์
ปลดล็อคและสตรีมมิ่ง
ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า Surfshark
ราคาและการคืนเงิน
โบนัส: คูปอง Surfshark
คำตัดสินของเรา
รีวิวผู้ใช้งาน Surfshark
Surfshark ต่างจากผู้ให้บริการ VPN รายอื่นยังไง?
ทุกวันนี้ VPN ส่วนใหญ่หน้าตาดี ใช้งานง่าย จ่ายด้วยคริปโตก็ได้ แถมมีเซิร์ฟเวอร์กระจายทั่วโลกนับร้อย
Surfshark เองก็ทำแบบนั้นได้
แต่เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล เรารวบรวมคุณสมบัติเด่นที่ทำให้ Surfshark ไม่เหมือนใคร — หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ข้อได้เปรียบแบบชัดเจน:
- ราคาถูกมาก: แพ็คเกจรายเดือนอาจไม่ได้ถูกที่สุด แต่แพ็คเกจ 2 ปีของ Surfshark ลดหนักกว่า 80% แถมยังมีคูปองเสริม ทำให้คุ้มสุด ๆ เมื่อเทียบต่อเดือน
- ใช้ได้ไม่จำกัดเครื่อง: ไม่เหมือน VPN ส่วนใหญ่ที่จำกัดแค่ 5–7 อุปกรณ์ Surfshark ให้คุณเชื่อมต่อได้กี่เครื่องก็ได้ พร้อมกันหมดเลย
- ระบบ “warrant canary”: Surfshark เป็นหนึ่งใน VPN ไม่กี่เจ้าที่แสดงหน้าเว็บว่า ยังไม่เคยได้รับคำสั่งจากรัฐให้เปิดเผยข้อมูลลูกค้า
จุดสุดท้ายนี่น่าสนใจทีเดียว — warrant canary หรือ “คำเตือนนกขมิ้น” เป็นกลวิธีที่บริษัทบางแห่งใช้ เมื่อพวกเขา ไม่สามารถเปิดเผย ได้โดยตรงว่าเคยได้รับคำสั่งลับจากรัฐหรือไม่ (โดยเฉพาะในสหรัฐฯ)
ทางออกคือ: พวกเขาประกาศว่า “เรายังไม่เคยได้รับคำสั่งใด ๆ”
ถ้าข้อความนี้หายไปเมื่อไหร่ — คุณก็พอเดาได้
กล่าวอีกแบบก็คือ ถ้าคุณเห็นเลขศูนย์อยู่บนหน้า Warrant Canary ของ Surfshark
นั่นแปลว่า ยังไม่มีใครจากภาครัฐมาสอดมือเข้าไปในระบบของพวกเขา
และในเมื่อพูดถึงความเป็นส่วนตัวแล้ว…
เรามาลงลึกเรื่องความปลอดภัยกันต่อเลยดีกว่า
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ Surfshark
Surfshark ดูจะจริงจังเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้อย่างแท้จริง — แค่ดูจากฟีเจอร์ที่ให้มาก็พอจะรู้:
- MultiHop: ฟังก์ชันที่เชื่อมต่อผ่าน VPN 2 ชั้นซ้อนกัน ทำให้การซ่อน IP ของคุณ แนบเนียนยิ่งขึ้น
- Camouflage Mode: โหมดพรางตัวที่ทำให้แม้แต่ ISP ของคุณก็ไม่รู้ว่าคุณกำลังใช้ VPN อยู่
- Kill Switch: ระบบตัดเน็ตอัตโนมัติทันทีที่การเชื่อมต่อ VPN ขาด — เพื่อไม่ให้ข้อมูลหลุดแม้แต่เสี้ยววินาที
และถ้าคุณเคยเห็นโฆษณาที่พูดถึง “การเข้ารหัสระดับทหาร” อะไรพวกนั้น…
ก็ไม่ต้องสนใจมากหรอก
ทุก VPN ที่น่าเชื่อถือเดี๋ยวนี้ใช้มาตรฐาน AES-256-GCM หมดแล้ว —
แปลว่าเรื่องนี้ไม่ใช่จุดต่างที่ควรจะเอามาโฆษณาด้วยซ้ำ
สิ่งที่ควรสนใจจริง ๆ คือ **นโยบายความเป็นส่วนตัว**
เพราะนั่นคือจุดที่คุณจะรู้ได้ว่า VPN เจ้านั้นเก็บข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับคุณ
แต่คุณไม่ต้องไปนั่งอ่านเองหรอก — เราอ่านมาให้เรียบร้อยแล้ว และนี่คือสรุปแบบสั้นเข้าใจง่าย:
- ในส่วนที่ 1 ของนโยบายความเป็นส่วนตัว: ระบุชัดว่า Surfshark ไม่เก็บ IP จริงของคุณ หรือข้อมูลอื่นใดที่ใช้ระบุตัวตนได้
- ไม่ต้องยืนยันตัวตน: การสมัครบัญชีใช้แค่อีเมล และจะใช้อีเมลนิรนามอย่าง ProtonMail ก็ไม่มีปัญหา
- ตาม ส่วนที่ 10 Surfshark อยู่ภายใต้กฎหมายของ British Virgin Islands ซึ่งเป็นเขตที่มีชื่อเสียงเรื่องการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
สิ่งสำคัญที่สุดคือ Surfshark มีนโยบาย ไม่บันทึกการใช้งาน (No Logs Policy) อย่างเคร่งครัด
หมายความว่า:
ไม่มีการเก็บ IP ไม่มีการบันทึกเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม
ไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่สามารถโยงกลับมาหาคุณได้
แม้วันหนึ่งจะถูกขอข้อมูลโดยภาครัฐของ British Virgin Islands (ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น)
Surfshark ก็ไม่มีข้อมูลอะไรจะมอบให้ เพราะพวกเขาไม่เก็บมันไว้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัว: ✔️
ต่อไปเรามาดูเรื่องความเร็วกันบ้าง
ความเร็วและสถานที่
ตามข้อมูล บนเว็บไซต์ Surfshark
ตอนนี้มีเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 1,000 เครื่องในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
แต่ขอเล่าให้ชัดหน่อย:
แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดจะเป็นเซิร์ฟเวอร์จริง (ไม่ใช่แค่ IP ปลอม ๆ) แต่บาง “สถานที่” บนแอปจะเป็น ตำแหน่งเสมือน
เช่น ถ้าคุณเลือกเชื่อมต่อผ่าน Albania หรือ Chile — IP ที่คุณได้จะเป็นของประเทศนั้น
แต่จริง ๆ แล้วเซิร์ฟเวอร์อาจจะอยู่ที่ Germany หรือ Colombia ก็ได้
เรื่องนี้ไม่กระทบกับความเร็วหรือความเป็นส่วนตัวของคุณ
แค่ระวังว่าเนื้อหาออนไลน์บางอย่างอาจจะโชว์เป็นภาษาที่คุณไม่คุ้น ถ้าเชื่อมต่อผ่านตำแหน่งเสมือน
ทีนี้… VPN มีเซิร์ฟเวอร์เยอะก็ไม่แปลกในยุคนี้
คำถามสำคัญคือ: ความเร็วล่ะ?
เราไม่ได้แค่เปิด VPN แล้วเทสต์มั่ว ๆ จากที่ไหนก็ได้
แต่ใช้เครื่องมือวัดความเร็ว 2 ตัวคือ SpeedTest และ Fast.com
ทดสอบแต่ละตำแหน่งอย่างน้อย 5 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลแม่นยำ
ความเร็วฐานของเรา (ตอนยังไม่เปิด VPN):
– 50 Mbps บน SpeedTest
– 40 Mbps บน Fast.com
ผลจากเซิร์ฟเวอร์ยอดนิยมของ Surfshark เป็นแบบนี้:
ค่าเฉลี่ยทั่วโลก:
– ประมาณ 30 Mbps บน SpeedTest
– ประมาณ 20 Mbps บน Fast.com
ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากสำหรับ VPN เจ้าใหญ่
ในหลาย ๆ พื้นที่ ความเร็วแทบไม่ต่างจากตอนยังไม่เปิด VPN เลย
เราใช้งานจริงแทบไม่รู้สึกถึงความช้าลง แม้จะเปิดซอฟต์แวร์วัดค่าก็ตาม
แต่แน่นอน: ความเร็วของคุณจริง ๆ อาจแตกต่าง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้ง, ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และช่วงเวลาที่ใช้
แต่การทดสอบลักษณะนี้ก็ยังช่วยให้เห็นภาพรวม และเปรียบเทียบเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศได้อย่างมีหลักฐาน
ถัดไป: Surfshark ผ่านด่านปิดกั้นเนื้อหาได้ดีแค่ไหน?
P2P และการดาวน์โหลดทอร์เรนต์
ถ้ามีจุดไหนที่ทั้ง “ความเร็ว” และ “ความเป็นส่วนตัว” สำคัญสุด ๆ สำหรับผู้ใช้ VPN — ก็คือการใช้เครือข่าย P2P หรือดาวน์โหลดทอร์เรนต์นั่นเอง
ก่อนจะไปต่อ ขอเคลียร์ให้ชัดก่อน:
การใช้ทอร์เรนต์หรือเทคโนโลยี P2P ไม่ผิดกฎหมาย ในทุกประเทศ
แต่บางรัฐบาลมีกฎจำกัดเฉพาะในกรณีที่มีการดาวน์โหลดเนื้อหาลิขสิทธิ์เพื่อแจกจ่ายต่อ —
ในขณะที่บางประเทศอย่างสเปนหรือสวิตเซอร์แลนด์ อนุญาตให้ใช้เพื่อการส่วนตัวได้ตามปกติ
ด้วยฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เราพูดถึง ก่อนหน้านี้
Surfshark จึงเหมาะมากสำหรับการดาวน์โหลดทอร์เรนต์ ด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อ:
- ข้อแรก: เพราะการเชื่อมต่อของคุณถูกเข้ารหัส และ IP ก็ถูกซ่อนไว้ — ทำให้ไม่มีใครตามรอยสิ่งที่คุณโหลดได้
- ข้อสอง: Surfshark มี เซิร์ฟเวอร์ที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ P2P แทบทุกตำแหน่งทั่วโลก — ช่วยให้ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น
แถมข้อหลังนี้ยังทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตคุณ อาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) จะไม่สามารถลดความเร็วของคุณตามกิจกรรมออนไลน์ได้อีกต่อไป
เพื่อความปลอดภัยขั้นสุด อย่าลืมเปิดฟีเจอร์ Kill Switch ซึ่งจะหยุดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติถ้า VPN หลุดกลางคัน:
ใช้ Surfshark ดาวน์โหลดอย่างโปร
และแม้ว่าจะฟังดูชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขอพูดอีกครั้ง:
ไม่ว่าคุณจะใช้ VPN หรือไม่ก็ตาม —
เราแนะนำให้ดาวน์โหลดเฉพาะไฟล์ที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ และเลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้
เพื่อหลีกเลี่ยงทั้งไวรัสในเครื่อง และปัญหาทางกฎหมายในกระเป๋าสตางค์คุณ
ต่อไป: Surfshark เอาชนะการบล็อคเนื้อหาได้ดีแค่ไหน?
ปลดล็อคและสตรีมมิ่ง
นอกจากการทดสอบความเร็วอย่างครอบคลุมแล้ว เรายังตรวจสอบด้วยว่า ผู้ให้บริการ VPN ช่วยให้คุณเข้าถึงบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง Netflix จากที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์แต่ละแห่งหรือไม่
การทดสอบของเราพบว่า ตั้งแต่ Netflix ทำการคัดกรองอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนมกราคม January 2020 นี้ บริการสตรีมมิ่ง ใช้งานได้ เมื่อเชื่อมต่อผ่านที่ตั้งหลักของ Surfshark รวมทั้งที่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และสหภาพยุโรป
การเชื่อมต่อผ่าน Surfshark VPN จากที่อื่นส่วนใหญ่ คุณสามารถเปิดแอปหรือเว็บไซต์ Netflix ได้ แต่การชมเนื้อหาภาพและเสียงอาจจะมีการติดขัดบ้าง
แต่โดยส่วนใหญ่ คุณจะใช้แค่ Netflix เวอร์ชันของสหรัฐอเมริกา เพราะมีภาพยนตร์และซีรีส์ให้เลือกชมมากที่สุด
***
สำหรับประเทศที่มีการปิดกั้น (ชัดเจนที่สุดคือ ประเทศจีน และประเทศอื่น เช่น ตุรกี รัสเซีย และสิงค์โปร์) Surfshark มีแนวทางดำเนินงานพร้อมลุยหลายอย่าง
- โหมดไร้พรมแดน ใช้งานได้โดยการเปิดปิดที่การตั้งค่าของแอป สิ่งที่โหมดนี้ทำคือ เปิดใช้เซิร์ฟเวอร์พิเศษอัตโนมัติ ซึ่งออกแบบให้ทำงานภายใต้การปิดกั้นของรัฐได้
- อินเตอร์เฟส OpenVPN (Windows) หรือ IKEv2 (MacOS) ทำให้การเชื่อมต่อผ่านเซิร์ฟเวอร์ Surfshark ได้ ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์ด้วยอินเทอร์เน็ต
- โปรโตคอล Shadowsocks ใช้ลอดผ่านกำแพงกั้นของจีนโดยเฉพาะ Shadowsocks คือ ตัวแทน (Proxy) จึงไม่มีการเข้ารหัสการเชื่อมต่อของคุณ – แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือ การเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น วิธีนี้เป็นทางเลือกที่ใช้ได้ หากลองใช้วิธีอื่นแล้วไม่สามารถใช้งานได้
โดยรวมแล้ว แม้จะบอกไม่ได้แน่นอนว่า VPN จะใช้งานได้หรือไม่ ในทุกพื้นที่ของประเทศอย่างประเทศจีน – แม้อาจจะใช้งานได้ในเมืองหนึ่ง – Surfshark มีเครื่องมือจำนวนมากให้คุณได้ลองใช้ เพื่อให้คุณมีโอกาสสูงสุดในการใช้งานได้สำเร็จ
ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เราแนะนำให้ตั้งค่าตัวเลือกทั้งหมดข้างต้น ก่อน ไปประเทศจีน เพราะเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการหลายแห่งถูกปิดการใช้งานตลอดเวลาในอาณาจักรแห่งกำแพงนี้
ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า Surfshark
ถ้าใช้งาน VPN แล้วเจอปัญหา (หรือแค่มีคำถามก่อนตัดสินใจสมัคร) — Surfshark มี 3 ช่องทางให้คุณติดต่อได้สะดวก:
- แชตสด กับทีมซัพพอร์ตของ Surfshark (เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังละเอียดหน่อยด้านล่าง)
- แบบฟอร์มติดต่อ สำหรับคำถามที่ไม่เร่งด่วน — คุณจะได้รับคำตอบทางอีเมลภายในระยะหนึ่ง
- ฐานความรู้ (Knowledgebase) สำหรับปัญหาทั่วไปที่มีคำตอบอยู่แล้วแบบพร้อมใช้
ส่วนใหญ่คนจะชอบคุยกับ “คนจริง ๆ” มากกว่า —
ดังนั้นเรามาโฟกัสที่ช่องทางยอดนิยมอย่างแชตสดกันก่อนเลย
คุณสามารถเปิดแชตสดได้จากมุมล่างขวาของหน้าเว็บไซต์ ทางการของ Surfshark
หรือจากเมนู “Settings” ในแอป
ช่วงแรกระบบจะถามคำถามเบื้องต้น และพยายามหาคำตอบจากฐานข้อมูลให้ก่อน
แต่ถ้ายังไม่เจอสิ่งที่ต้องการ ให้คลิกปุ่ม “Live chat” สีน้ำเงินที่อยู่ด้านล่างสุด
จากนั้นคุณแค่กรอกรายละเอียดสั้น ๆ แล้วกด “Start chat” เพื่อเชื่อมต่อกับพนักงานจริง ๆ
จากการทดสอบของเรา — เวลารอเฉลี่ยแค่ 10–20 วินาที เท่านั้น
แม้แต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ (ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ปัญหา VPN โผล่บ่อย)
พนักงานสุภาพและตอบเร็วมาก… บางทีอาจจะเร็วไปนิด 💨
แต่ก็น่าจะเพราะฐานลูกค้า Surfshark โตแบบก้าวกระโดดช่วงหลังนี่แหละ
รวม ๆ แล้ว แม้แต่คำถามที่ดูงง ๆ หรือไร้สาระของเราก็ยังได้รับคำตอบแบบมืออาชีพ
ถือว่าระบบซัพพอร์ตผ่านฉลุยเลย
***
โอเค — ถึงตรงนี้เราก็เช็คครบทุกหมวดแล้ว: ความเร็ว ✅ ความปลอดภัย ✅ ความเป็นส่วนตัว ✅ การใช้งาน ✅ การช่วยเหลือ ✅
ทีนี้ก็เหลือเรื่องเดียวที่ทุกคนอยากรู้…
…ราคานั่นแหละ!
ราคาและการคืนเงิน
ถึงแม้ว่า Surfshark จะมีฟีเจอร์ครบทุกด้านทั้งความเร็ว ความปลอดภัย ความเสถียร และความง่ายในการใช้งาน
แต่ “ไพ่ตาย” ที่แท้จริงของบริการนี้คือ ราคา
เรารู้ได้ยังไง?
ง่ายมาก — เราติดตามราคาของ VPN เจ้าหลัก ๆ อยู่ตลอด
ภาพเดียวก็แทนคำพูดได้เป็นพันคำ นี่คือแผนภาพที่เราเตรียมไว้ เปรียบเทียบแพ็คเกจที่ถูกที่สุดของ VPN ชื่อดัง:
จะเห็นว่า Surfshark “กลืนคู่แข่งลงท้อง” ได้หมดในแง่ของราคา…
แม้แต่ VPN บางเจ้าที่ใช้แผน 3 ปีเพื่อให้ราคาต่อเดือนดูต่ำ
Surfshark ยังถูกกว่า — เพราะใช้แผน 2 ปีแทน ซึ่งหมายความว่า
คุณจ่ายล่วงหน้าน้อยกว่า แต่ก็ได้ราคาต่อเดือนถูกกว่า ด้วย
***
ถึงตรงนี้คุณอาจจะเริ่มคิดแล้วว่า:
แล้วฉันจะยอมจ่ายล่วงหน้า 2-3 ปี
สำหรับบริการที่ยังไม่เคยลองเลย ทำไมล่ะ?
คำถามนี้ไม่ผิดเลย — เพราะ VPN ส่วนใหญ่ ไม่มีให้ทดลองใช้ฟรี จริง ๆ
แต่ Surfshark ให้คุณลองใช้แบบไร้ความเสี่ยง ด้วยการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
นี่คือขั้นตอนการขอเงินคืนแบบง่ายสุด ๆ:
- เข้าสู่ระบบที่เว็บไซต์ Surfshark และคลิกปุ่มแชตสีฟ้าตรงมุมล่างขวา
- พิมพ์อะไรก็ได้ แล้วกด Enter — ระบบจะแนะนำบทความจากฐานข้อมูล + ปุ่ม “Live chat”
- คลิกที่ “Live chat” แล้วแจ้งพนักงานว่าคุณต้องการขอยกเลิกบัญชีพร้อมขอคืนเงินภายใน 30 วัน
(ใช่เลย — เราเคยลองด้วยบัญชีจริง และได้เงินคืนครบถ้วนตามที่สัญญาไว้)
คุณไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลใด ๆ
แต่ก็อาจมีเจ้าหน้าที่พยายามโน้มน้าวให้คุณอยู่ต่อ (ซึ่งก็เป็นหน้าที่เขาแหละ 🦸♂️)
แค่ยืนยันชัด ๆ ว่าคุณต้องการยกเลิกและขอคืนเงิน
ตราบใดที่บัญชีของคุณอายุน้อยกว่า 30 วัน พนักงานจะดำเนินการให้ภายในเวลาไม่กี่นาที
จากนั้นก็รอประมาณ 5–7 วันทำการ เงินจะคืนเข้าบัญชีของคุณ
***
จากที่เราทดสอบมา คุณน่าจะไม่ต้องใช้การรับประกันนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ก็รู้ไว้ไม่เสียหายเนอะ — เผื่อว่าคุณอยากลองแล้วไม่โอเค
พูดถึงทางเลือก…
เรายังมีอีกหนึ่งทริกลับสำหรับคนที่อยากได้ราคา Surfshark แบบถูกที่สุดอีกด้วย 👇
โบนัส: คูปองส่วนลด Surfshark
คุณรู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วสามารถปลดล็อคราคาที่ถูกกว่าเดิมอีกได้ — แค่ใช้รหัสคูปองพิเศษ?
โดยปกติแล้ว แพ็คเกจ 12 เดือนและ 24 เดือนของ Surfshark จะมีแถมให้อีก 3 เดือนแบบอัตโนมัติ
ซึ่งถือว่าคุ้มกว่า VPN เจ้าอื่น ๆ อยู่แล้ว
แต่ถ้าใช้รหัสของเรา — คุณจะได้แถมเพิ่ม อีก 1 เดือน ฟรีทันที!
รวมเป็น 4 เดือนแถม สำหรับแผน 2 ปี = ราคาต่อเดือนถูกลงไปอีก!
ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อปลดล็อคดีลนี้:
- เริ่มจากเข้าไปที่หน้าสั่งซื้ออย่างเป็นทางการของ Surfshark โดยคลิกปุ่มด้านล่าง (ลิงก์จะเปิดในหน้าต่างใหม่):
- เลือกแพ็คเกจที่คุณต้องการ (ต้องเป็นแผนแบบ 12 เดือนหรือ 24 เดือนนะ)
-
ในหน้าสรุปคำสั่งซื้อ ให้คลิก “x” เพื่อลบรหัส
surfsharkdeal
ที่ระบบใส่ให้อัตโนมัติจากนั้นให้ใส่รหัสนี้ลงไปแทน:
satori -
คลิก “Apply” แล้วคุณจะเห็นว่าตารางราคามีการเปลี่ยนแปลง:
แผน 24+3 เดือน จะกลายเป็น 24+4 เดือน — โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม!
คูปองนี้ไม่ได้ลดเงินโดยตรงเยอะมาก
แต่ถ้านับจำนวนเดือนใช้งานที่เพิ่มขึ้น — ก็คุ้มกว่าแพ็คเกจเดิมแน่นอน 💸
เสร็จเรียบร้อย!
ถึงเวลาเข้าสู่บทสรุปสุดท้ายของเราแล้ว 🎬
คำตัดสิน + รีวิวลูกค้า
การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โปรแกรมเจาะข้อมูล การคัดกรองเนื้อหาในบางพื้นที่ การปิดกั้นของรัฐ เนื้อหาโฆษณาเจาะตามข้อมูลส่วนตัวของคุณ …
Surfshark VPN เป็นบริการที่คุ้มค่าสำหรับการโลดเล่นในพื้นที่เละเทะอย่างอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่นี้ไหม?
ตามผลการค้นคว้าข้อมูลของเราและเสนอในรีวิวนี้ Surfshark คือบริการ VPN คุณภาพสูง อย่างน้อยก็ดีพอๆกับคู่แข่งรายอื่น
- ระบบความปลอดภัยระดับสูง ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสล่าสุดและเครื่องมืออย่าง MultiHop และโหมดพรางตัว
- การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ตามนโยบายไร้การบันทึกที่เข้มงวด และการที่บริษัทจดทะเบียนที่ British Virgin Islands ขอบเขตของกฎหมายที่นี่ มีชื่อเสียงด้านกฎการปิดข้อมูลเป็นความลับ
- ตัวเลือกสถานที่ ที่กว้าง (60+) พร้อมความเร็วการเชื่อมต่อที่น่าประทับใจ เพื่อให้คุณไม่รู้สึกติดขัดในการเข้าถึงข้อมูลหรือใช้บริการสตรีมมิ่งผ่าน VPN
- ศักยภาพการปลดล็อค ใช้งานได้ดี สำหรับบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix และการใช้งานในบางภูมิภาคที่มีการปิดกั้นทางอินเทอร์เน็ต
แต่นั่นไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด
– สิ่งสำคัญที่สุด คือ Surfshark ราคาถูกกว่าถึง 2-3 เท่า เมื่อเทียบราคาที่ผู้ให้บริการ VPN ยอดนิยมรายอื่น
นโยบายคืนเงิน ภายใน 30 วัน ใช้ได้จริง (เราได้ตรวจสองแล้ว ด้วยบัญชีจริง) ทำให้แพ็คแกจทั้งหมดนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นอีก เพราะขจัดความเสี่ยงออกไปเลย ถ้าคุณจะลองใช้ Surfshark
สรุปก็คือ?
Surfshark เสนอประโยชน์ที่คุณได้รับทั้งหมด ในฐานะผู้ให้บริการ VPN ที่ดีเยี่ยม ในราคาน้อยนิด หากไม่มีอะไรแตกต่างเลยเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการ VPN รายใหญ่ที่อื่น – จ่ายแพงกว่าทำไม ถ้าคุณใช้บริการได้ในราคาถูกกว่าที่ Surfshark?
🤷
(ถ้าคุณจะลองใช้ Surfshark อย่าลืมดูขั้นตอนการปลดล็อคเพื่อรับส่วนลด ในส่วนที่เรากล่าวไปแล้ว)
***
ยังมีคำถามเกี่ยวกับ Surfshark? หรือคุณอาจจะลองใช้บริการ VPN นี้แล้ว และอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของคุณ? เขียนรีวิวหรือร่วมพูดคุยกันได้ ด้านล่าง!