☑︎ ข้อมูลล่าสุดอัปเดตเมื่อ July 2025
ถ้าคุณเคยหาข้อมูลเรื่อง VPN มาบ้าง แค่ 5 นาที ก็น่าจะเคยเห็นชื่อ ExpressVPN โผล่มาแล้วแน่นอน
😎 แบรนด์ดูดี มีรีวิวจากดาราและบล็อกเกอร์ดัง พร้อมคำโฆษณาแรงๆ — แต่ทั้งหมดนี้ยังเวิร์กอยู่ไหมในปี 2025?
ExpressVPN ยังเป็นตัวจริงเรื่องความเป็นส่วนตัวและการปลดบล็อกคอนเทนต์อยู่ไหม หรือแค่เป็นยักษ์รุ่นเก่าที่ราคาแรงแต่ไม่คุ้ม?
คำถามดีเลยครับ
รีวิวนี้จะไม่เล่าเรื่องพื้นๆ แบบ “มันมีแอปนะ ใช้งานง่ายนะ” แต่จะเจาะลึกจริงจัง — ทั้งผลการทดสอบจริง เทคนิคการตั้งราคา และฟีเจอร์ลับที่หลายคนไม่รู้ — เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า ExpressVPN ยังน่าลงทุนอยู่ไหม วันนี้
ก่อนจะไปไกลกว่านี้ มาสรุปกันสั้นๆ ก่อนว่าเราพบอะไรบ้าง:
แต่ก่อนจะลงลึกไปกว่านี้ เรามาเริ่มต้นจากคำถามสำคัญ: VPN มีเยอะมาก ExpressVPN ต่างจากเจ้าอื่นยังไงกันแน่?
ระบบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ความเร็วและประสิทธิภาพ
การสตรีมและปลดบล็อก
รองรับ Torrent และ P2P หรือไม่
แอปและการใช้งาน
บริการลูกค้า
ราคาและการขอเงินคืน
โบนัส: คูปอง ExpressVPN
บทสรุป + รีวิวจากผู้ใช้
ExpressVPN ต่างจาก VPN อื่นอย่างไร
สมัยนี้ VPN มีให้เลือกนับร้อย บางเจ้าก็ใช้ AES-256 เหมือนกันหมด มี kill switch ให้ และแอปมือถือก็หน้าตาสวยพอๆ กัน จนบางทีแยกไม่ออกว่าอันไหนดีจริง
แต่ ExpressVPN กลับสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ — ไม่ใช่เพราะลูกเล่นใหม่ๆ แปลกๆ แต่เพราะมัน ทำสิ่งพื้นฐานได้โคตรดี แถมยังมีเทคนิคบางอย่างที่เจ้าอื่นยังตามไม่ทัน:
- การตรวจสอบจากภายนอก: ไม่ใช่แค่บอกว่า “เราไม่เก็บข้อมูลนะ” — ExpressVPN จ้างบริษัทมืออาชีพอย่าง PwC และ KPMG มาตรวจสอบระบบให้ และผลลัพธ์ก็เปิดเผยสาธารณะ ตรวจสอบได้
- TrustedServer (ใช้ RAM อย่างเดียว): เซิร์ฟเวอร์ทุกเครื่องไม่มีฮาร์ดดิสก์เลย ใช้แค่ RAM ดังนั้นข้อมูลจะถูกลบหมดเมื่อรีสตาร์ท ไม่มีอะไรให้เก็บ ไม่มีอะไรให้แฮ็ก
- DNS ของตัวเอง: ทุกเซิร์ฟเวอร์ของ ExpressVPN ใช้ DNS ที่บริษัทควบคุมเองแบบ zero-knowledge หมายความว่าไม่มีการส่งข้อมูลผ่านผู้ให้บริการภายนอก ลดความเสี่ยงของการรั่วไหล
- Lightway protocol: โปรโตคอลใหม่ที่ ExpressVPN พัฒนาขึ้นเอง แทนที่จะใช้แค่ OpenVPN หรือ WireGuard ข้อดีคือเชื่อมต่อเร็วกว่า ใช้แบตน้อย และเหมาะกับคนที่ต้องสลับเครือข่ายบ่อยๆ
- ที่ตั้งบริษัท: บริษัทอยู่ที่ 🇻🇬 หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (British Virgin Islands) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีกฎหมายเก็บข้อมูล และไม่มีข้อตกลงแชร์ข่าวกรองกับประเทศตะวันตก
- ฟรี eSIM: สมัคร ExpressVPN จะได้ eSIM สำหรับใช้งานขณะเดินทาง โดยปริมาณข้อมูลขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เลือก
- เราเตอร์ Aircove: ExpressVPN เป็น VPN เจ้าเดียวที่มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง — ติดตั้งพร้อมใช้งานในบ้านหรือออฟฟิศทันที ไม่ต้องตั้งค่าแยก
จะว่าไป ฟีเจอร์พวกนี้บางอันเจ้าอื่นก็มีเหมือนกัน — แต่ ExpressVPN เป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำ และจนถึงตอนนี้ก็ยังทำได้ดีกว่าในปี 2025
ถ้าความเป็นส่วนตัวคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญที่สุด (โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทาง หรืออยู่ในประเทศที่มีการจำกัดอินเทอร์เน็ต) — โครงสร้างระบบของ ExpressVPN ก็น่าพิจารณามาก
แต่มันป้องกันคุณได้ดีแค่ไหนในทางปฏิบัติ?
เดี๋ยวเราจะไปดูส่วนเทคนิคกันแบบละเอียด…
ระบบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ExpressVPN โฆษณาว่าตัวเองให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมาก — แต่ถ้าตรวจสอบจริงๆ แล้วจะเป็นยังไงกันแน่?
1. มีการตรวจสอบโดยบริษัทอิสระ เพื่อยืนยันนโยบายไม่เก็บข้อมูล (No-Logs)
อย่างที่เกริ่นไว้ด้านบน ExpressVPN ไม่ได้แค่พูด แต่ให้บริษัทอย่าง PwC และ KPMG เข้ามาตรวจสอบระบบจริง — และ ผลการตรวจสอบ ก็ถูกเผยแพร่ให้คนทั่วไปอ่านได้
2. ระบบเซิร์ฟเวอร์ใช้ RAM เท่านั้น (ไม่มีฮาร์ดดิสก์)
ทุกเซิร์ฟเวอร์ของ ExpressVPN ทำงานด้วยหน่วยความจำแบบชั่วคราว (RAM) ซึ่งจะล้างข้อมูลทั้งหมดเมื่อรีสตาร์ท — ลดความเสี่ยงเรื่องข้อมูลตกค้างหรือถูกขโมย
3. Kill Switch มีในทุกระบบหลัก
ExpressVPN เรียกมันว่า “Network Lock” — ฟีเจอร์นี้จะปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทันทีถ้า VPN หลุด เพื่อไม่ให้ IP หรือ DNS ของคุณรั่วออกไป
4. DNS ส่วนตัวพร้อมเข้ารหัสในทุกเซิร์ฟเวอร์
VPN บางเจ้าพึ่งพา DNS ของบุคคลที่สาม ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วไหล ExpressVPN แก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ DNS ของตัวเองที่ถูกเข้ารหัส — ปลอดภัยกว่า
5. ตั้งอยู่ในเขตนอกกฎหมายข้อมูล: หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน
ที่นั่นไม่มีกฎหมายบังคับเก็บข้อมูล และไม่ได้อยู่ในกลุ่มแชร์ข่าวกรอง เช่น Five Eyes — ถึงจะไม่ใช่เกราะกันทุกอย่าง แต่ก็ให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าหลายประเทศใหญ่ๆ
พูดง่ายๆ คือ ExpressVPN ผสมผสานทั้งเทคนิคการป้องกันและข้อได้เปรียบทางกฎหมายได้ดี แม้จะไม่ใช่ VPN เดียวที่ทำแบบนี้ แต่ก็ถือว่ามีมาตรฐานสูง
นโยบายความเป็นส่วนตัวและผลการตรวจสอบผ่านแล้ว — ทีนี้มาดูกันว่าความปลอดภัยที่ว่า จะกระทบกับการใช้งานไหม โดยเฉพาะเรื่อง “ความเร็ว”
ความเร็วและประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์
ขอเคลียร์ก่อนเลย: ไม่มี VPN ตัวไหนทำให้อินเทอร์เน็ตของคุณเร็วขึ้นได้
แต่ของดีจริงจะทำให้มัน “ช้าลงน้อยที่สุด” จนคุณแทบไม่รู้สึก
ExpressVPN ทำได้ดีในจุดนี้
จากข้อมูลบนเว็บไซต์ ExpressVPN มีเซิร์ฟเวอร์นับพันใน 105 ประเทศ — ทั้งหมดเป็นเครื่องจริง ไม่มีเซิร์ฟเวอร์เสมือนให้ปวดหัว
แต่แค่ตัวเลขอย่างเดียวมันไม่พอ เราเลยลองทดสอบเอง
นี่คือวิธีที่เราทดสอบ:
- ใช้ทั้ง Speedtest.net และ Fast.com เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์
- เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ 12 จุดทั่วสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย
- ทดสอบจาก 3 ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ใน 2 ประเทศ (ยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
- แต่ละเซิร์ฟเวอร์ทดสอบ 3–5 ครั้ง แล้วเฉลี่ยค่าความเร็ว
ผลที่ได้:
- การเชื่อมต่อในทวีปเดียวกัน: ความเร็วลดลงเพียง 10–15% แทบไม่รู้สึก แม้แต่ตอนวิดีโอคอลหรือโหลดไฟล์ใหญ่
- การเชื่อมต่อข้ามทวีป: มีดีเลย์ตามคาด แต่ยังสตรีมลื่นดี ความเร็วลดประมาณ 20–30% ซึ่งถือว่าโอเคมากสำหรับทราฟฟิกที่ถูกเข้ารหัส
- Lightway protocol: เชื่อมต่อเร็วและเสถียรแม้ในเครือข่ายไม่เสถียร เช่น ตอนเปลี่ยนจาก Wi-Fi ไปเป็น 4G ขณะใช้งาน
สรุปสั้นๆ: ExpressVPN เร็วพอสำหรับสตรีม HD, โหลดบิต, ประชุม Zoom และเล่นเกม (ถ้าคุณไม่ได้พยายามแข่ง CS:GO จากเบอร์ลินไปเซิร์ฟเวอร์บราซิลนะ)
จะโหลดไฟล์ 2GB หรือดูหนัง 4K ผ่านเซิร์ฟเวอร์อเมริกาจากโตเกียว? ExpressVPN เอาอยู่
และนี่คือจุดขายของมัน — ความสามารถในการปลดบล็อกสตรีมมิ่งทั่วโลก
ไปดูของจริงกันในหัวข้อต่อไป
การสตรีมและปลดบล็อกคอนเทนต์
ตรงนี้แหละที่ ExpressVPN โชว์ของจริง
VPN ส่วนใหญ่สมัยนี้มักโดนระบบตรวจจับของ Netflix เล่นงานจนเข้าไม่ได้ — แต่ ExpressVPN คือข้อยกเว้น
จากที่เราทดสอบ เราสามารถเข้าถึงบริการสตรีมยอดนิยมได้ดังนี้:
- Netflix สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี: เข้าได้ครบทุกไลบรารี ไม่มีขึ้น error หรือโหลดช้า
- BBC iPlayer: ดูได้ลื่นจากทั้งเซิร์ฟเวอร์ในยุโรปและสหรัฐฯ (BBC ยังจับไม่ได้เลย!)
- Hulu, Disney+, Amazon Prime Video: ใช้งานได้จากหลายจุดทดสอบ ไม่มีปัญหา
ไม่เหมือนกับ Surfshark หรือ NordVPN ที่ต้องเลือก “เซิร์ฟเวอร์พิเศษ” เพื่อดูสตรีม — ExpressVPN แค่ต่อแล้วดูได้เลย ไม่ต้องตั้งค่าอะไร
ที่เด็ดกว่านั้น: ส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ ExpressVPN สามารถ “สปูฟ” พิกัด GPS ให้ตรงกับเซิร์ฟเวอร์ VPN — หลอกทั้ง IP และข้อมูลจากเบราว์เซอร์ได้พร้อมกัน
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม:
- ถ้าเข้า HBO Max ไม่ได้ ลองเคลียร์คุกกี้หรือเปิดโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito)
- การดูวิดีโอ 4K ต้องการอย่างน้อย 25 Mbps — เราได้เฉลี่ย 30–40 Mbps บนเซิร์ฟเวอร์สหรัฐฯ จากยุโรป
สรุปคือ: ถ้าคุณสมัครบริการสตรีมหลายเจ้าทั่วโลก และอยากดูได้ครบทุกที่ — ExpressVPN คือเครื่องมือที่ไว้ใจได้มากที่สุด
ต่อไป: แล้วการโหลดบิตหรือแชร์ไฟล์ล่ะ ใช้ดีไหม?
รองรับ Torrent และ P2P หรือไม่
เรื่องความเร็วกับความเป็นส่วนตัวมาเจอกันตรงนี้แหละ — การโหลดบิต
ไม่ว่าจะโหลดหนังสารคดีโอเพ่นซอร์ส ไฟล์ ISO ของลินุกซ์ หรือหนังอินดี้จากค่ายเล็กๆ — คุณก็คงไม่อยากให้ ISP หรือหน่วยงานรัฐมาส่องการใช้งานของคุณแน่นอน
แล้ว ExpressVPN รับมือกับเรื่องนี้ยังไง?
- รองรับ P2P ทุกเซิร์ฟเวอร์: ไม่เหมือน VPN บางเจ้าที่จำกัดให้โหลดบิตได้แค่บางประเทศ ExpressVPN ปล่อยให้โหลดได้ ทุกเซิร์ฟเวอร์
- Kill switch + ป้องกัน DNS รั่ว: ฟีเจอร์ Network Lock ช่วยปิดการเชื่อมต่อถ้า VPN หลุดกะทันหัน — ป้องกัน IP และ DNS รั่วระหว่างโหลด
- ไม่จำกัดความเร็วหรือแบนด์วิดท์: ExpressVPN ไม่ลดสปีดแม้โหลดเยอะ — บางครั้งยังช่วยกัน ISP แอบลดความเร็วอีกด้วย
- ใช้งานได้กับทุกโปรแกรมโหลดบิต: uTorrent, qBittorrent, BitTorrent, Transmission, Deluge — ใช้ได้หมด
จากที่เราทดสอบ การโหลดบิตผ่าน ExpressVPN เร็วและเสถียร โดยเฉพาะเมื่อใช้เซิร์ฟเวอร์ใกล้ตำแหน่งจริง เราได้สปีด 8–10 MB/s บนเน็ต 100 Mbps โดยไม่มีหลุดหรือโดนแจ้งเตือน
แต่มีสิ่งเดียวที่ควรจำไว้: เลือกเซิร์ฟเวอร์ใกล้ๆ จะช่วยให้ได้ความเร็วสูงสุดและลดความหน่วง ExpressVPN มีระบบเลือกเซิร์ฟเวอร์อัจฉริยะ (Smart Location) ที่ค่อนข้างแม่นอยู่แล้ว — แต่คุณก็สามารถลองปรับเองได้เช่นกัน
และขอเตือนเบาๆ ว่า: ใช้ torrent อย่างถูกกฎหมายเท่านั้นนะครับ สนับสนุนผู้สร้างเนื้อหาถ้าเป็นไปได้ เราไม่ได้สนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ — แค่อยากให้คุณปลอดภัยเวลาลงเรือลำนี้ 🏴☠️
โอเค ไปดูเรื่องประสบการณ์ใช้งานจริงกันบ้าง — ตั้งแต่ติดตั้งจนถึงใช้ในชีวิตประจำวัน
แอป ExpressVPN และประสบการณ์ใช้งานจริง
ExpressVPN เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2009 — และความเก๋านั้นก็เห็นได้ชัด (ในทางดีนะ)
แอปของเขาดูดี เสถียร และไม่พยายามยัดฟีเจอร์ฟุ่มเฟือยใส่คุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเซียน VPN ก็น่าจะรู้สึกใช้งานได้ไม่ยาก
ลองมาดูแบบแยกตามแพลตฟอร์ม:
- Windows และ macOS: ตัวแอปบนเดสก์ท็อปเร็วและใช้ง่ายมาก มีปุ่มเปิดใหญ่ๆ ระบบแนะนำเซิร์ฟเวอร์อัตโนมัติ และเมนูด่วนสำหรับเปลี่ยนที่อยู่ มี kill switch และให้เลือกโปรโตคอลได้ (Auto / Lightway / OpenVPN)
- iOS และ Android: อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ใช้ได้ด้วยการแตะครั้งเดียว มีฟีเจอร์หลักครบ เช่น โปรโตคอล Lightway, split tunneling (เฉพาะ Android), และเชื่อมต่ออัตโนมัติเมื่อใช้ Wi-Fi สาธารณะ แถมประหยัดแบตด้วย
- Linux: ต่างจากเจ้าอื่นที่รองรับ Linux แบบครึ่งๆ กลางๆ — ExpressVPN มีแอป CLI เต็มรูปแบบ ติดตั้งง่าย เสถียร และรองรับดิสโทรหลักทั้งหมด
- ส่วนขยายเบราว์เซอร์: ใช้ได้กับ Chrome, Firefox, และ Edge — ไม่ใช่แค่พร็อกซี่ธรรมดา แต่ควบคุมแอปหลักได้ แถมสปูฟพิกัด DNS และ WebRTC ได้ด้วยเพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด
- เราเตอร์และสมาร์ตทีวี: ExpressVPN มีเฟิร์มแวร์เฉพาะสำหรับเราเตอร์บางรุ่น และคู่มือการตั้งค่าละเอียดสำหรับรุ่นอื่นๆ รองรับ Fire TV, Apple TV (ผ่าน Smart DNS) และแม้แต่เครื่องเกมผ่านการแชร์จากเราเตอร์
สรุป: ExpressVPN ไม่ได้แค่ “มีแอปบนทุกแพลตฟอร์ม” แต่ยังออกแบบให้ใช้งานดีในแต่ละระบบด้วย
เราชอบเป็นพิเศษเรื่องความเร็วของโปรโตคอล Lightway และการเชื่อมต่ออัตโนมัติบนมือถือที่เสถียรมาก มันคือพวก “ดีเทลเล็กๆ” ที่ทำให้ VPN ใช้งานได้แบบลืมไปเลยว่ามีอยู่ — และ ExpressVPN ทำได้ดีจริงๆ
แต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น จะมีทีมช่วยเหลือดีไหม?
ไปดูกัน
ประสบการณ์กับทีมซัพพอร์ตของ ExpressVPN
VPN ส่วนใหญ่ใช้ดี… จนมันไม่ดี
และเมื่อมันมีปัญหา ก็หวังว่าจะมีคนให้คุยด้วยจริงๆ — ไม่ใช่แค่ AI ตอบวนไปวนมา
โชคดีที่ ExpressVPN ไม่ตัดงบในจุดนี้
- แชทสด: เปิดให้บริการ 24/7 บนเว็บไซต์ — และใช่ครับ ถ้าคุณพิมพ์ว่าอยากคุยกับ “คนจริง” ก็จะได้คุยกับคนจริงๆ ไม่ต้องเป็นลูกค้าก็ถามได้นะ
- อีเมล: เหมาะกับคำถามเทคนิคยากๆ หรือเวลาต้องแนบ log ไปให้ ส่วนใหญ่ตอบกลับในไม่กี่ชั่วโมง
- ศูนย์ช่วยเหลือ (Help Center): บทความมากมายพร้อมภาพประกอบ ครอบคลุมทุกหัวข้อ ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะทาง
เราทดสอบแชทสดหลายรอบ ต่างวัน ต่างเวลา — เวลาเฉลี่ยที่ต้องรอคือ 3–5 นาทีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคที่ AI ครองเมือง ทีมซัพพอร์ตสุภาพ ตอบเร็ว และรู้จริง
ที่เราชอบคือความตรงไปตรงมา — ตัวอย่างเช่น พอถามว่าเซิร์ฟเวอร์ไหนสตรีม Netflix ได้ชัวร์ๆ เจ้าหน้าที่ก็บอกตามตรงว่าเซิร์ฟเวอร์อาจเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และให้ลิงก์ไปดูรายการอัปเดตล่าสุด
สรุป: ถ้าคุณติดขัดอะไร มีคนช่วยแน่นอน — และไม่ต้องรู้สึกเหมือนตะโกนใส่กำแพง
ตอนนี้เราดูเรื่องฟีเจอร์หลักๆ ไปหมดแล้ว ถึงเวลาคุยเรื่องเงินบ้าง: ExpressVPN ราคาเท่าไหร่ และคุ้มไหม?
ราคาและนโยบายคืนเงิน
เอาล่ะ ถึงเวลาพูดเรื่องที่หลายคนสงสัย:
ExpressVPN ไม่ใช่ VPN ราคาถูก
มันติดอันดับแพงที่สุดในตลาดแทบตลอดเวลา — และแทบไม่เคยจัดโปร “ลด 90%” แบบบางเจ้า
นี่คือตัวเลือกแพ็กเกจล่าสุด:
- แพ็กเกจรายเดือน: แพงเอาเรื่อง จริงๆ เหมือนไว้ใช้สำหรับเทียบราคากับแพ็กเกจรายปีมากกว่า เพราะแบบรายปีมีรับประกันคืนเงิน 30 วันอยู่แล้ว
- แพ็กเกจรายปี: ได้โบนัสเพิ่มอีก 3 เดือน รวมเป็น 15 เดือน ราคาต่อเดือนถูกลงครึ่งนึงเมื่อเทียบกับรายเดือน
- แพ็กเกจ 2 ปี: ได้เพิ่มอีก 4 เดือน รวมเป็น 28 เดือน — ถูกลงอีกประมาณ 15% ต่อเดือนจากแบบรายปี
ใช่ครับ ราคาสูง — แต่สิ่งที่ได้คือความเสถียรระดับพรีเมียม ระบบความปลอดภัยที่แน่น และประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายแต่ลื่นมาก
แต่ถ้างบจำกัด ExpressVPN อาจดู “เกินความจำเป็น” โดยเฉพาะเมื่อมีตัวเลือกดีๆ อย่าง NordVPN หรือ Surfshark ที่ถูกกว่าครึ่ง (หรือมากกว่า)
💡 ทริคเล็กๆ: ถ้าอยากประหยัด ดูที่หัวข้อถัดไป — เรามีลิงก์พิเศษสำหรับลดราคาล่าสุดของ ExpressVPN ให้ด้วย
ทุกรูปแบบแพ็กเกจมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วันแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ใช่พวก “ให้เครดิตในระบบ” หรือมีเงื่อนไขจุกจิก
เราเองก็ลองของจริงมาแล้ว:
- แชทกับเจ้าหน้าที่ ขอคืนเงิน (ไม่ต้องให้เหตุผล เราบอกแค่ว่าทดสอบอยู่)
- เจ้าหน้าที่กดยืนยันให้ทันที — ไม่มีปัญหา ไม่มีพยายามยื้อ
- เงินเข้าบัญชี PayPal ภายใน 5 วัน
ดังนั้น ถ้ายังลังเล — ก็ลองใช้ ExpressVPN ได้แบบไม่มีความเสี่ยง
อ่านถึงตรงนี้แล้ว? ดีเลย เพราะต่อไปเราจะบอกวิธีเปิดใช้งานส่วนลดแบบลับๆ 👇
โบนัส: คูปองส่วนลด ExpressVPN
อยากลองใช้ ExpressVPN แล้วประหยัดเงินไปพร้อมกันไหม?
แม้เขาจะไม่ประกาศโปรฯ ใหญ่โตแบบเจ้าอื่น แต่จริงๆ แล้ว ExpressVPN มีดีลพิเศษผ่านพาร์ทเนอร์ — รวมถึงของเรา
ตอนที่เขียนรีวิวนี้ แพ็กเกจรายปีแถม 3 เดือนฟรี แบบไม่ต้องกรอกโค้ดใดๆ — แค่ทำตามขั้นตอนนี้:
- คลิกปุ่มด้านล่างเพื่อเปิดหน้าเลือกแพ็กเกจของ ExpressVPN (ลิงก์จะเปิดในแท็บใหม่):
- เลือกแพ็กเกจ 12 เดือน หรือ 24 เดือน — ระบบจะใช้ราคาพิเศษให้อัตโนมัติในหน้าชำระเงิน
- ดาวน์โหลดแอป แล้วลองใช้ ExpressVPN บนอุปกรณ์ของคุณได้เลย ทุกแพ็กเกจมีการรับประกันคืนเงิน 30 วัน ไม่มีความเสี่ยง
ไม่เห็นส่วนลดในหน้าเว็บ? ลองเปิดลิงก์ในโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) หรือเคลียร์คุกกี้ก่อน — บางครั้งหน้าราคาอาจโชว์แบบแปลกๆ ถ้าเคยเข้าเว็บมาก่อน
บทสรุป: ExpressVPN ยังคุ้มอยู่ไหมใน 2025?
ถ้าคุณอยากได้ VPN ที่ “เปิดแล้วใช้ได้เลย” ปลดบล็อกทุกอย่างได้จริง และไม่เล่นตัวเรื่องความเป็นส่วนตัว — งั้นก็ใช่: ExpressVPN ยังติดอันดับท็อปของวงการ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคน
นี่คือสรุปชัดๆ:
- ปลดบล็อกสตรีมมิ่งได้เยี่ยม (Netflix, BBC iPlayer, Disney+, Prime Video — ทดสอบแล้ว ใช้ได้หมด)
- ประสิทธิภาพดี ข้ามทวีปก็ยังลื่น ด้วยโปรโตคอล Lightway ที่พัฒนาเอง
- ความเป็นส่วนตัวระดับท็อป: เซิร์ฟเวอร์แบบ RAM เท่านั้น, ตรวจสอบ no-logs, DNS ของตัวเอง, kill switch — ผ่านหมด
- แอปใช้ง่าย ครอบคลุมตั้งแต่มือถือจนถึงเราเตอร์
- ทีมซัพพอร์ตดีจริง มีแชท 24/7 พร้อมคนตอบตัวเป็นๆ
- ราคาค่อนข้างสูง: โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ VPN หน้าใหม่ที่ให้ฟีเจอร์เยอะกว่าในราคาต่ำกว่า
- ตัวเลือกปรับแต่งเชิงลึกมีน้อย: ไม่เหมาะกับสายเทคนิคที่ชอบปรับค่าระดับเซิร์ฟเวอร์
สรุปง่ายๆ: ExpressVPN คือบริการระดับพรีเมียมในราคาพรีเมียม — เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสถียรภาพสูง ใช้งานง่าย และความเป็นส่วนตัวที่ตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐาน
แต่ถ้าคุณอยากได้ฟีเจอร์ล้ำๆ หรือราคายืดหยุ่นกว่านี้ — ยังมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
คุณเคยใช้ ExpressVPN ไหม? กำลังคิดจะย้ายจากเจ้าอื่นอยู่หรือเปล่า?
👇 แบ่งปันความเห็น เคล็ดลับ หรือคำถามของคุณไว้ที่ คอมเมนต์ด้านล่าง — มาแชร์ประสบการณ์กัน!